วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาบทที่ 1 การออกเสียงภาษาอังกฤษ


เนื้อหาบทที่ 1

1.      การออกเสียงภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะ    ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้
B -- บ ใบไม้ เช่น boy บอย
C -- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้
--CA, CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์
--CE, CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์
--SC -- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา
อย่างไรก็ตาม มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด
D -- ด เด็ก เช่น dog
F -- ฟ ฟัน เช่น fun
G -- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์
-- GA, GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส, get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน
-- GI - ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic ไจแกนติค
H -- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ นกฮูก เช่น hello เฮลโล
J -- จ จาน เช่น jet เจ็ท
K -- เป็นได้ทั้ง ค ควาย และ ก ไก่ และเสียงเงียบ
เสียงต้น -- ค ควาย เช่น kilogram คิโลแกรม
SK -- ก ไก่ เช่น sky สกาย ski สกี
KN -- เสียงเงียบ (ไม่ออกเสียง) เช่น knee, นี knock, น็อค know โนว์
L -- คล้ายกับ ล ลิง สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับเสียง น-ว แหวน สำหรับเสียงสะกด
เสียงต้น เช่น lance แลนซ์, look ลุก
เสียงสะกด เช่น mill มิลล์ (เรียกว่า dark L), oil โออิล
โดยเสียงของ ตัวอักษร L (เช่น oil, ni, fooll) ออกเสียงโดยการ ลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th
การออกเสียงของ LL (เช่น will, full) ออกเสียงโดยการลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th และลากโคนลิ้นไปแตะเพดานอ่อนพร้อมๆ กัน (เสียงจะคล้ายๆ ง-ว)
M -- ม ม้า เช่น money มั้นนี่
N -- น หนู เช่น no โน
P -- พ พาน หรือ ป ปลา
เสียงต้น -- พ พาน เช่น pest, เพสท์ Peter พีเทอร์
SP -- ป ปลา เช่น span สแปน, spark สปาร์ค, sport สปอร์ต
Q -- ค ควาย หรือ ก ไก่
QU -- ค ควาย ควบ ว แหวน เช่น queen ควีน
SQU -- ก ไก่ ควบ ว แหวน เช่น squid สกวิด, square สแกวร์
R -- คล้ายกับ ร เรือ สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับคำว่า เออร์ สำหรับเสียงท้าย
เสียงต้น เช่น row โรว์
เสียงกลางประโยค เช่น born บอร์น
เสียงท้าย เช่น fire ไฟเออร์ เสียง R
โดยเสียงของ ตัวอักษร R ออกเสียงโดยการ ลากลิ้นไปแตะที่เพดานปากด้านบนส่วนหลัง เหมือนคำว่า fire อ่านว่า ไฟ แล้วลากลิ้นไปแตะที่เพดานปาก เสียง เออร์ จะออกมาคล้ายกับเสียง ไฟเออร์
S -- เสียงต้น ออกเสียง ส.เสือ ถ้าเป็นเสียงลงท้าย ออกเหมือนเสียง ซือออออ ให้เสียงเหมือนลมผ่านช่องกระจก โดยพูดให้เพียงแค่ลมออกจากปาก และลำคอไม่สั่น เป็นเสียงแบบ voiceless)
เสียงต้น S -- sock ซ๊อกค์
เสียงท้าย S -- case เคส
T -- ท ทหาร หรือ ต เต่า
เสียงต้น -- ท ทหาร เช่น tank แทงก์
ST -- ต เต่า เช่น street สตรีท, star สตาร์
V -- เสียงเหมือน ว แหวน โดยเป็นเสียงที่ใกล้เคียง กับ V F และ B พูดโดยการกัดริมฝีปาก ก่อนออกเสียง ว แหวน เช่น vail เวลล์
W (ดับเบิ้ล ยู แต่พูดเร็วเร็ว ก็กลายเป็น ดับ-บ-ลิว) -- เสียงเหมือน ว แหวน แต่มีเสียงก้องในปาก พูดโดยการ ทำปากจู๋ก่อนแล้วตามด้วยออกเสียง ว.แหวน เช่น wow วาว
X -- เสียงต้น เป็นเสียง ส เสือ และ ซ โซ่ เสียงท้าย เหมือน ค ควาย รวมกับ เสียง เอส
เสียงต้น -- xylem ไซเร็ม
เสียงท้าย -- box บ็อกซือ
Y -- ย ยักษ์ เช่น young ยัง, you ยู
Z -- (อ่านว่า ซี ในอังกฤษอเมริกัน หรือที่อ่านกันว่า เซท ในอังกฤษสำเนียงอื่น - แต่คนไทยออกเสียงว่า แซด) เสียงเหมือน ส เสือ และ ซ โซ่ เช่น zebra ซี-บร่า
เสียงอักษร Z ต่างกับ ตัวอักษร C โดยเวลาพูดจะมีการสั่นของเสียง (voice sound) โดยเมื่อเอามือจับที่ใต้ฟันล่าง แล้วพูดเสียงจะมีการสั่นของลำคอ เหมือนกับการออกเสียง บ ใบไม้ กับ พ พาน หรือ เสียง ด เด็ก กับ ท ทหาร (z, บ ใบไม้, พ พาน เป็น เสียงสั่น)
ตัวอักษรCH ออกเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ /CH/ /SH/ สำหรับคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส เช่น champaign, Chicago /K/ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การศึกษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีก เช่น chaos, stomach, architecture
CH -- เสียง ช ช้าง เหมือนเสียง ท ทหาร ตามด้วยเสียง ช ช้าง พูดโดยการ เอาลิ้นแตะโคนฟัน แล้วพูด เฉอะ
SH -- เสียง ช ช้างปกติ
คำที่เสียงแตกต่างกัน ในขณะที่เสียงไทยใกล้เคียงกัน เช่น ship chip, sheep cheap, shop chop ทดสอบที่โปรแกรมทดสอบแม่แบบ:Fn
CH -- เสียง ค ควาย ก็ได้ ถ้าคำที่ใช้ มาจาก กรีก เป็นในทางความหมาย ทาง ประวัติศาสตร์ ดนตรี การแพทย์ การศึกษา ประมาณนี้ เช่น
chaos เคออส ความวุ่นวาย stomachache สโตมัคเอค chorus คอรัส
TH -- เสียงนี้ ไม่มีของไทย แต่ใกล้เคียงกับ /ด/ /ต/ /ส/ (เชื่อมั้ยละ ว่ามันใกล้กับ ส) เวลาออกเสียง เริ่มแรก กัดลิ้นเบาเบา แล้วพูด เช่น * THAT หรือว่า BATH พูดแล้วตอนจบกัดลิ้น THANK YOU กัดลิ้นแล้วพูดดู ไม่ใช่ แต้งกิ้ว แต่มันจะเป็นเสียง ผสม /ต//ซ/
สระในภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้
ee -- เสียงอี เช่น ฟีด feed
i -- เสียงอิ เช่น ฟิน fin
i -- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่
a_e -- เสียง เอ เช่น เฟด fade
e -- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed
a -- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad
u -- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup
o -- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop
oo -- boot เสียงสระอู
ull -- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู
o_e -- bone เสียง โอ
i_e -- fine เสียง ไอ
oi -- coin เสียง ออย
ou -- round เสียง อาว
นอกจากนี้ สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น
 come -- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่ มาจากคำว่า cume
dove -- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ
entree -- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส
hors d'œuvre – ออร์เดิร์ฟ

2.      การลงเสียงเน้นหนักในคำ
การเน้นเสียง (stressing)
การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษทำได้โดยการทำให้เสียงดังขึ้น หรือทำให้เสียงสูงขึ้น
การเน้นเสียงของคำ
คำศัพท์แต่ละคำ จะมีการเน้นเสียงในแต่ละที่ ขึ้นอยู่กับคำ สามารถตรวจสอบได้โดยการเปิดดิกชันนารี ตัวอย่างเช่น
Option --/OP-tion/ เสียงเหมือน อ้อป-ชัน
canal -- /ca-NAL/ เสียงเหมือน คะ-แนล (ลากเสียง แนล)
deposit -- /de-PO-sit/ เสียงเหมือน ดิ-พ้อ-สิท
spaghetti --/spa-GHET-ti/ สเปอะ-เก๊ต-ทิ อันนี้แปลกหน่อย เน้นตัวที่สาม
การเน้นเสียงในประโยค
ในประโยคจะมีการเน้นเสียงหลายจุด ยกเว้นคำที่เป็น pronoun และ preposition และคำท้ายสุดของประโยคจะมีการเน้นเสียงหนักสุด ที่เรียกว่า เสียงเน้นหลัก(Primary Stress) เช่น
If you don't want to add a poll to your topic.
If you don't want to add a poll to your topic.
I don't think that control is in OPEC's hands.
อ่านเป็น I don't think that control is in OPEC's hands.


3.      ระดับเสียงสูงต่ำในประโยคอย่างถูกต้อง
นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation   แล้ว intonation คืออะไร? มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค จะมีการขึ้น การลงของเสียง ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้ นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
รูปแบบของ intonation ในภาษาอังกฤษจะมี 2 รูปแบบหลักๆคือ
1. falling intonation   การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง
หลักการใช้ระดับเสียงสูงต่ำในประโยค
1. falling intonation
1.1 ใช้กับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ธรรมดา เช่น
  • It was quite bad.
  • I want to see him again.
1.2 ใช้สำหรับคำลงท้ายของประโยคคำถามแบบ Wh-question เช่น
  • What do you usually eat for lunch?
  • Who is that?
  • What’s it?
1.3 ใช้กับประโยคคำสั่งที่เน้น เช่น
  • Don’t make loud noise.
  • Sit down.
2. rising intonation
2.1 ใช้ลงท้ายประโยคคำถามที่เป็นแบบ yes / no question
  • Is she a teacher?
  • Have you seen him?
  • Can I see it?
2.2 ใช้กับประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เราต้องการให้มันเป็นคำถาม เช่น
  • You like it?
  • I can’t go?
2.3 ใช้ในการแสดงการทักทาย เช่น
  • Good Morning
  • Good afternoon
  • Good evening
2.4 เวลาต้องการเกริ่นนำก่อนเข้าเนื้อหา เราสามารถพูดวลีที่เป็นการเกริ่นนำให้เป็นเสียงสูงได้ เช่น
  • As we know, Thailand is an agricultural country.
2.5 ในการพูดถึง สิ่งของที่มีหลายอย่างเป็นหมวดหมู่ เรามักขึ้นเสียงสูงทุกคำแล้วลงเสียงต่ำที่คำสุดท้าย เช่น
  • I like to eat vegetables like carrottomato, and cabbage.
อ้างอิง







1 ความคิดเห็น: