เนื้อหาบทที่
1
1. การออกเสียงภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะ ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน
โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม
ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ
เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้
B
-- บ ใบไม้ เช่น boy บอย
C
-- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้
--CA,
CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์
--CE,
CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city
ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์
--SC
-- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา
อย่างไรก็ตาม
มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด
D
-- ด เด็ก เช่น dog
F
-- ฟ ฟัน เช่น fun
G
-- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ
เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์
--
GA,
GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส,
get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน
--
GI
- ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic
ไจแกนติค
H
-- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ
นกฮูก เช่น hello เฮลโล
J
-- จ จาน เช่น jet เจ็ท
K
-- เป็นได้ทั้ง ค ควาย และ ก ไก่ และเสียงเงียบ
เสียงต้น
-- ค ควาย เช่น kilogram คิโลแกรม
SK
-- ก ไก่ เช่น sky สกาย ski สกี
KN
-- เสียงเงียบ (ไม่ออกเสียง) เช่น knee, นี knock,
น็อค know โนว์
L
-- คล้ายกับ ล ลิง สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับเสียง น-ว แหวน
สำหรับเสียงสะกด
เสียงต้น
เช่น lance
แลนซ์, look ลุก
เสียงสะกด
เช่น mill
มิลล์ (เรียกว่า dark L), oil โออิล
โดยเสียงของ
ตัวอักษร L (เช่น oil, ni, fooll) ออกเสียงโดยการ ลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th
การออกเสียงของ
LL
(เช่น will, full) ออกเสียงโดยการลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง
th และลากโคนลิ้นไปแตะเพดานอ่อนพร้อมๆ กัน (เสียงจะคล้ายๆ
ง-ว)
M
-- ม ม้า เช่น money มั้นนี่
N
-- น หนู เช่น no โน
P
-- พ พาน หรือ ป ปลา
เสียงต้น
-- พ พาน เช่น pest, เพสท์ Peter พีเทอร์
SP
-- ป ปลา เช่น span สแปน, spark สปาร์ค, sport สปอร์ต
Q
-- ค ควาย หรือ ก ไก่
QU
-- ค ควาย ควบ ว แหวน เช่น queen ควีน
SQU
-- ก ไก่ ควบ ว แหวน เช่น squid สกวิด,
square สแกวร์
R
-- คล้ายกับ ร เรือ สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับคำว่า เออร์
สำหรับเสียงท้าย
เสียงต้น
เช่น row
โรว์
เสียงกลางประโยค
เช่น born
บอร์น
เสียงท้าย
เช่น fire
ไฟเออร์ เสียง R
โดยเสียงของ
ตัวอักษร R ออกเสียงโดยการ
ลากลิ้นไปแตะที่เพดานปากด้านบนส่วนหลัง เหมือนคำว่า fire อ่านว่า
ไฟ แล้วลากลิ้นไปแตะที่เพดานปาก เสียง เออร์ จะออกมาคล้ายกับเสียง ไฟเออร์
S
-- เสียงต้น ออกเสียง ส.เสือ ถ้าเป็นเสียงลงท้าย ออกเหมือนเสียง
ซือออออ ให้เสียงเหมือนลมผ่านช่องกระจก โดยพูดให้เพียงแค่ลมออกจากปาก
และลำคอไม่สั่น เป็นเสียงแบบ voiceless)
เสียงต้น
S
-- sock ซ๊อกค์
เสียงท้าย
S
-- case เคส
T
-- ท ทหาร หรือ ต เต่า
เสียงต้น
-- ท ทหาร เช่น tank แทงก์
ST
-- ต เต่า เช่น street สตรีท, star สตาร์
V
-- เสียงเหมือน ว แหวน โดยเป็นเสียงที่ใกล้เคียง กับ V F และ B พูดโดยการกัดริมฝีปาก ก่อนออกเสียง ว แหวน
เช่น vail เวลล์
W
(ดับเบิ้ล ยู แต่พูดเร็วเร็ว ก็กลายเป็น ดับ-บ-ลิว) -- เสียงเหมือน
ว แหวน แต่มีเสียงก้องในปาก พูดโดยการ ทำปากจู๋ก่อนแล้วตามด้วยออกเสียง ว.แหวน
เช่น wow วาว
X
-- เสียงต้น เป็นเสียง ส เสือ และ ซ โซ่ เสียงท้าย เหมือน ค ควาย
รวมกับ เสียง เอส
เสียงต้น
-- xylem
ไซเร็ม
เสียงท้าย
-- box
บ็อกซือ
Y
-- ย ยักษ์ เช่น young ยัง, you ยู
Z
-- (อ่านว่า ซี ในอังกฤษอเมริกัน หรือที่อ่านกันว่า เซท
ในอังกฤษสำเนียงอื่น - แต่คนไทยออกเสียงว่า แซด) เสียงเหมือน ส เสือ และ ซ โซ่
เช่น zebra ซี-บร่า
เสียงอักษร
Z
ต่างกับ ตัวอักษร C โดยเวลาพูดจะมีการสั่นของเสียง
(voice sound) โดยเมื่อเอามือจับที่ใต้ฟันล่าง
แล้วพูดเสียงจะมีการสั่นของลำคอ เหมือนกับการออกเสียง บ ใบไม้ กับ พ พาน หรือ
เสียง ด เด็ก กับ ท ทหาร (z, บ ใบไม้, พ
พาน เป็น เสียงสั่น)
ตัวอักษรCH
ออกเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ /CH/ /SH/ สำหรับคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส
เช่น champaign, Chicago /K/ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์
การศึกษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีก เช่น chaos,
stomach, architecture
CH
-- เสียง ช ช้าง เหมือนเสียง ท ทหาร ตามด้วยเสียง ช ช้าง พูดโดยการ
เอาลิ้นแตะโคนฟัน แล้วพูด เฉอะ
SH
-- เสียง ช ช้างปกติ
คำที่เสียงแตกต่างกัน
ในขณะที่เสียงไทยใกล้เคียงกัน เช่น ship chip, sheep
cheap, shop chop ทดสอบที่โปรแกรมทดสอบแม่แบบ:Fn
CH
-- เสียง ค ควาย ก็ได้ ถ้าคำที่ใช้ มาจาก กรีก เป็นในทางความหมาย
ทาง ประวัติศาสตร์ ดนตรี การแพทย์ การศึกษา ประมาณนี้ เช่น
chaos
เคออส ความวุ่นวาย stomachache สโตมัคเอค chorus
คอรัส
TH
-- เสียงนี้ ไม่มีของไทย แต่ใกล้เคียงกับ /ด/ /ต/ /ส/ (เชื่อมั้ยละ
ว่ามันใกล้กับ ส) เวลาออกเสียง เริ่มแรก กัดลิ้นเบาเบา แล้วพูด เช่น * THAT
หรือว่า BATH พูดแล้วตอนจบกัดลิ้น THANK
YOU กัดลิ้นแล้วพูดดู ไม่ใช่ แต้งกิ้ว แต่มันจะเป็นเสียง ผสม /ต//ซ/
สระในภาษาอังกฤษ
ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ
จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้
ee
-- เสียงอี เช่น ฟีด feed
i
-- เสียงอิ เช่น ฟิน fin
i
-- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย
ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่
a_e
-- เสียง เอ เช่น เฟด fade
e
-- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed
a
-- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ
อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad
u
-- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup
o
-- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop
oo
-- boot เสียงสระอู
ull
-- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู
o_e
-- bone เสียง โอ
i_e
-- fine เสียง ไอ
oi
-- coin เสียง ออย
ou
-- round เสียง อาว
นอกจากนี้
สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น
เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น
come
-- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่
มาจากคำว่า cume
dove
-- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ
คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ
entree
-- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส
hors
d'œuvre – ออร์เดิร์ฟ
2. การลงเสียงเน้นหนักในคำ
การเน้นเสียง
(stressing)
การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษทำได้โดยการทำให้เสียงดังขึ้น
หรือทำให้เสียงสูงขึ้น
การเน้นเสียงของคำ
คำศัพท์แต่ละคำ
จะมีการเน้นเสียงในแต่ละที่ ขึ้นอยู่กับคำ สามารถตรวจสอบได้โดยการเปิดดิกชันนารี
ตัวอย่างเช่น
Option
--/OP-tion/ เสียงเหมือน อ้อป-ชัน
canal
-- /ca-NAL/ เสียงเหมือน คะ-แนล (ลากเสียง แนล)
deposit
-- /de-PO-sit/ เสียงเหมือน ดิ-พ้อ-สิท
spaghetti
--/spa-GHET-ti/ สเปอะ-เก๊ต-ทิ อันนี้แปลกหน่อย เน้นตัวที่สาม
การเน้นเสียงในประโยค
ในประโยคจะมีการเน้นเสียงหลายจุด
ยกเว้นคำที่เป็น pronoun และ preposition
และคำท้ายสุดของประโยคจะมีการเน้นเสียงหนักสุด ที่เรียกว่า
เสียงเน้นหลัก(Primary Stress) เช่น
If
you don't want to add a poll to your topic.
If
you don't want to add a poll to your topic.
I
don't think that control is in OPEC's hands.
อ่านเป็น
I
don't think that control is in OPEC's hands.
3. ระดับเสียงสูงต่ำในประโยคอย่างถูกต้อง
นอกจากการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้ว
การเรียนการออกเสียงในภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งสำคัญ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มี Intonation
แล้ว intonation คืออะไร? มันก็คือเสียงขึ้นลงที่เราใช้ในเวลาพูด
ถ้าสังเกตฝรั่งเวลาพูดเขาจะไม่พูดเสียงราบเรียบทั้งประโยค จะมีการขึ้น
การลงของเสียง ซึ่งถ้าหากว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาเราก็ต้องมารู้จักหลักการในการออกเสียงขึ้นลงเหล่านี้
นอกจากนี้ยังช่วยในการฟังภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
รูปแบบของ intonation
ในภาษาอังกฤษจะมี 2 รูปแบบหลักๆคือ
1. falling intonation การลงเสียงต่ำ
2. rising intonation การขึ้นเสียงสูง
หลักการใช้ระดับเสียงสูงต่ำในประโยค
1. falling intonation
1.1 ใช้กับประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ธรรมดา เช่น
- It
was quite bad.
- I
want to see him again.
1.2 ใช้สำหรับคำลงท้ายของประโยคคำถามแบบ
Wh-question เช่น
- What
do you usually eat for lunch?
- Who
is that?
- What’s it?
1.3 ใช้กับประโยคคำสั่งที่เน้น เช่น
- Don’t
make loud noise.
- Sit down.
2. rising intonation
2.1 ใช้ลงท้ายประโยคคำถามที่เป็นแบบ yes / no question
- Is
she a teacher?
- Have
you seen him?
- Can
I see it?
2.2 ใช้กับประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เราต้องการให้มันเป็นคำถาม
เช่น
2.3 ใช้ในการแสดงการทักทาย เช่น
- Good Morning
- Good afternoon
- Good evening
2.4 เวลาต้องการเกริ่นนำก่อนเข้าเนื้อหา
เราสามารถพูดวลีที่เป็นการเกริ่นนำให้เป็นเสียงสูงได้ เช่น
- As
we know, Thailand is an agricultural
country.
2.5 ในการพูดถึง
สิ่งของที่มีหลายอย่างเป็นหมวดหมู่
เรามักขึ้นเสียงสูงทุกคำแล้วลงเสียงต่ำที่คำสุดท้าย เช่น
- I
like to eat vegetables like carrot, tomato, and
cabbage.
อ้างอิง